สมาชิก
น.ส.เขมิกา พรหมจันทร์ เลขที่ 6
น.ส.จิณห์จุฑา พานิช เลขที่ 8
น.ส.นงนภัส สุนทรธรรม เลขที่ 13
น.ส.ปัณณิกา สุนทรวาทะ เลขที่ 16
น.ส.ปาลชาติ ศรีเหรา เลขที่ 17
น.ส.แพรวา หัสดี เลขที่ 19
น.ส.สุธินี ลีลารัตน์รุ่งเรือง เลขที่ 28
ห้อง 936 ชั้น ม.5
สวนพฤกษศาสตร์โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559
ต้นสัก
สัก เป็นไม้ต้นขนาดใหญ่ผลัดใบในฤดูร้อน
ลำต้นเปลาตรงเปลือกเรียบหรือแตกเป็นร่องเล็ก ๆ สีเทา โคนเป็นพูพอนต่ำ ๆ
เรือนยอดเป็นพุ่มทรงกลมค่อนข้างทึบ เปลือกสีเทา เรียบ
หรือแตกเป็นร่องตื้นตามความยาวลำต้น ขึ้นเป็นหมู่ในป่าเบญจพรรณทางภาคเหนือ
บางส่วนในภาคกลางและภาคตะวันตก มีอยู่บ้างทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สรรพคุณของต้นสักได้แก่ เป็นยาลดระดับน้ำตาลในเลือด
ยาบำรุงโลหิต แก้พิษโลหิต แก้อาการอ่อนเพลีย แก้อาการปวดศีรษะ
ยาแก้ทางเดินปัสสาวะอักเสบ ช่วยรักษาประจำเดือนไม่ปกติ ช่วยรักษาโรคผิวหนัง
เป็นต้น
สถานที่ที่พบได้ในโรงเรียน ได้แก่ ตึก 1, ตึก
2 และตึก
3
ต้นนนทรี
นนทรีเป็นไม้ต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่
ผลัดใบ เรือนยอดทรงกลมหรือรูปไข่ เปลือกต้น
สีเทาอ่อนค่อนข้างเรียบหรือแตกเป็นสะเก็ดเล็ก ๆ ตามกิ่งก้านอ่อนมีขนสีน้ำตาลแดง
ใบประกอบแบบชนนกสองชั้นเรียงเวียนสลับ เป็นไม้ยืนต้นในวงศ์ถั่ว ทรงพุ่มสูงได้ถึง
25 เมตร กึ่งผลัดใบ เรือนยอดรูปร่ม แผ่กว้าง ใบเป็นใบประกอบขนนกสองชั้นรูปไข่
ออกดอกเป็นช่อตั้งขนาดใหญ่ที่ปลายกิ่ง สีเหลือง มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ออกดอกในฤดูแล้งช่วงเดือนมีนาคม-มิถุนายน
นนทรีมีชื่อพื้นเมืองอื่นอีก ดังนี้
กระถินแดง (ตราด) กระถินป่า (ตราด,
สุโขทัย) และสารเงิน (เชียงใหม่, เหนือ)
ประโยชน์ของต้นนนทรีคือการนำมาทำเป็นยารักษาโรคสะเก็ดเงิน
สถานที่ที่พบในโรงเรียน ได้แก่
ตึกศิลปะ, ตึก
1, ตึก
2,
ตึก 3, ด้านข้างหอประชุม, ด้านข้างห้องสมุด
ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์
ชื่อสามัญ:
Pink Trumpet, Pink Tecoma, Rosy Trumpet-tree
ชื่อวิทยาศาสตร์: Tabebuia rosea
ชื่อวงศ์:
Bignoniaceae
ชื่อท้องถิ่น:
ชมพูพันธุ์ทิพย์, ชมพูอินเดีย
พบที่บริเวณ:
ตึกศิลปะ
ลักษณะ
·
ชมพูพันธุ์ทิพย์เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบ
ขนาดกลางถึงใหญ่ เรือนยอดรูปไข่หรือทรงกลม แผ่กว้างเป็นชั้น ๆ
เปลือกต้นเรียบสีเทาหรือสีน้ำตาล เมื่ออายุมากเปลือกแตกเป็นร่อง กิ่งเปราะหักง่าย ขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ดหรือตอนกิ่ง
·
ใบเป็นใบประกอบรูปนิ้วมือ
ใบย่อย 5 ใบ ก้านใบรวมยาว 5-30 เซนติเมตร ก้านใบย่อยยาว 0.5-2.5 เซนติเมตร
ใบรูปขอบขนานหรือรูปไข่แกมรูปรี กว้าง 3-7 เซนติเมตร ยาว 7.5-16 เซนติเมตร
ปลายใบแหลมหรือเรียวแหลม โคนใบมนหรือสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนาสีเขียวเข้ม
·
ดอกมีสีชมพูอ่อน
ชมพูสดถึงสีขาว กลางดอกสีเหลือง ออกเป็นช่อแบบช่อกระจุกที่ปลายกิ่ง
มีดอกย่อยจำนวนมาก โคนกลีบดอกเชื่อมติดกันเป็นหลอดปลายแยกเป็น 5 แฉก คล้ายรูปแตร
ยาว 5-7 เซนติเมตร ดอกบานเต็มที่กว้าง 5-8 เซนติเมตร มักบานพร้อมกัน ร่วงง่าย
·
ผลเป็นผลแห้งแตก
เป็นฝักกลม ยาว 15-30 เซนติเมตร เมื่อแก่แตกเป็น 2 ซีก เมล็ดแบนสีน้ำตาล มีปีก
ต้นพญาสัตบรรณ
ชื่อสามัญ: Devil Tree, White Cheesewood,
Devil Bark, Dita Bark, Black Board Tree
ชื่อวิทยาศาสตร์: Alstonia
scholaris
ชื่อวงศ์: Apocynaceae
ชื่อท้องถิ่น: พญาสัตบรรณ สัตบรรณ หัสบัน
จะบัน บะซา ปูลา ปูแล ตีนเป็ด ตีนเป็ดขาว ตีนเป็ดไทย ต้นตีนเป็ด
พบที่บริเวณ: ตึก 9, ตึกศิลปะ
ลักษณะ
·
ต้นพญาสัตบรรณ มีถิ่นกำเนิดดั้งเดิมอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
สามารถพบได้ในทุกภาคของประเทศไทย เป็นไม้ยืนต้นสูงขนาดใหญ่ ลำต้นตรง
แตกกิ่งก้านสาขาเป็นชั้น ๆ มีความสูงประมาณ 12-20 เมตร
เปลือกต้นหนาเปราะ ผิวต้นมีสะเก็ดเล็ก ๆ สีขาวปนน้ำตาลเมื่อกรีดจะมียางสีขาว
และขยายพันธุ์ด้วยการเพาะเมล็ด และการปักชำ
นอกจากนี้ต้นพญาสัตบรรณยังจัดเป็นต้นไม้ประจำจังหวัดสมุทรสาครอีกด้วย
·
ใบ ออกเป็นกลุ่มที่บริเวณปลายกิ่ง
โดยหนึ่งช่อจะมีใบประมาณ 5-7 ใบ ใบมีสีเขียวเข้ม ใบยาวรี
ปลายใบมนโคนใบแหลม ขนาดของใบยาวประมาณ 10-12 เซนติเมตร
ก้านใบสั้นเมื่อเด็ดออกจะมีน้ำยาวสีขาว
·
ดอก สีเขียวอ่อนออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง
ดอกมีกลิ่นฉุนรุนแรง สูดดมเพียงเล็กน้อยจะรู้สึกกลิ่นหอม
หากสูดดมมากจะรู้สึกวิงเวียนศีรษะ ช่วงค่ำจะส่งกลิ่นแรงกว่าเวลาอื่น ๆ
ดอกเป็นกลุ่มคล้ายดอกเข็มช่อหนึ่งจะมีกลุ่มดอกประมาณ 7 กลุ่ม ดอกมีสีขาวอมเหลือง
ปกติจะออกดอกในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม
· ผล ผลออกเป็นฝัก ลักษณะฝักยาว เป็นฝักคู่หรือฝักเดี่ยว ลักษณะเป็นส้น ๆ
กลมเรียวมีความประมาณ 20-30 เซนติเมตร เมื่อแก่จะแตกเป็น 2
ซีก มีขุยสีขาวสามารถปลิวไปตามลมได้ ส่วนในฝักจะมีเมล็ดเล็ก ๆ
จำนวนมากลักษณะเป็นรูปขนานแบน ๆ ติดอยู่กับขุย
ต้นอโศกอินเดีย
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Polylthia
longifolia (Benth) Hook. F. var.
ชื่อวงศ์ : ANNONACEAE.
ชื่อสามัญ : The Mast Tree
ชื่อพื้นเมืองอื่นๆ : อโศกเซนต์คาเบรียล , อโศกอินเดีย
ถิ่นกำเนิด : ประเทศอินเดียและศรีลังกา
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์
ไม้ต้นทรงพุ่มเป็นรูปปิรามิดแคบ สูงได้ถึง 25 ม. ไม่ผลัดใบ
กิ่งโน้มลู่ลงทั้งต้น เปลือกต้นเกลี้ยงสีเทาเข้มหรือเทาปนน้ำตาล
ใบ ใบเดี่ยว ใบรูปหอก ยาว 15-20 ซม. ปลายแหลม ขอบใบเป็นคลื่น
สีเขียวเป็นมัน
ดอก ดอกช่อสีเขียวอ่อนเป็นกระจุกตามข้างๆ กิ่ง แต่ละดอกเป็นรูปดาว 6
แฉก กลีบดอกเป็นคลื่นเล็กน้อย
ผล ผลรูปไข่ ยาว 2 ซม. เมื่อสุกมีสีดำ
บริเวณที่พบ: หลังห้องพยาบาลตึก 1 และบริเวณสนามฟุตซอล ตึก 2
ต้นนมแมว
ชื่อวิทยาศาสตร์: Rauwenhoffia siamensis Scheff.
ชื่อวงศ์: ANNONAEAE
ชื่อสามัญ: Rauwenhoffia siamensis
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดไม่สูงนัก สูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้น กิ่ง และก้านมีสีคล้ำ
ใบ ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหอก โคนใบมน ปลายใบแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว ใบด้านบนสาก มีขนตามเส้นกลางใบ
ดอก เป็นดอกเดี่ยว เหมือนดอกลำดวน แต่เล็กกว่ากลีบบางกว่าไม่งุ้มโค้งมากเท่าดอกลำดวน สีขาวออกเหลืองนวล มี 6 กลีบ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกแข็งและสั้น เมื่อบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 0.5 นิ้ว
ฝัก/ผล ออกเป็นพวง เมื่อสุกสีเหลืองอมส้ม รับประทานได้
ฤดูกาลออกดอก: มีดอกเกือบตลอดปี
การปลูก: นิยมปลูกประดับและตัดแต่งให้เป็นทรงพุ่มสวยงาม
การดูแลรักษา: ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นระบายน้ำได้ดี
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอกกลิ่นหอมแรงในเวลาเย็นถึงค่ำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- สมุนไพร
- ดอก กลั่นทำน้ำหอม
- บริโภค
ถิ่นกำเนิด: ประเทศไทย
แหล่งที่พบ: ชายป่าชื้นทางภาคใต้ และภาคกลางของประเทศไทย
สรรพคุณทางยา:
- ดอก มีน้ำมันหอมระเหยมีกลิ่นหอมใช้แต่งกลิ่น
- เนื้อไม้และราก ต้มรับประทานแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ
- ราก เป็นยาแก้โรคผอมแห้งของสตรีเนื่องจากคลอดบุตรอยู่ไฟไม่ได้
ชื่อวงศ์: ANNONAEAE
ชื่อสามัญ: Rauwenhoffia siamensis
ลักษณะทั่วไป:
ต้น เป็นไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ขนาดไม่สูงนัก สูงประมาณ 1-2 เมตร ลำต้น กิ่ง และก้านมีสีคล้ำ
ใบ ใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ลักษณะของใบเป็นรูปหอก โคนใบมน ปลายใบแหลมยาวประมาณ 3 นิ้ว ใบด้านบนสาก มีขนตามเส้นกลางใบ
ดอก เป็นดอกเดี่ยว เหมือนดอกลำดวน แต่เล็กกว่ากลีบบางกว่าไม่งุ้มโค้งมากเท่าดอกลำดวน สีขาวออกเหลืองนวล มี 6 กลีบ แบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นละ 3 กลีบ กลีบดอกแข็งและสั้น เมื่อบานเต็มที่มีขนาดประมาณ 0.5 นิ้ว
ฝัก/ผล ออกเป็นพวง เมื่อสุกสีเหลืองอมส้ม รับประทานได้
ฤดูกาลออกดอก: มีดอกเกือบตลอดปี
การปลูก: นิยมปลูกประดับและตัดแต่งให้เป็นทรงพุ่มสวยงาม
การดูแลรักษา: ชอบดินที่มีความชุ่มชื้นระบายน้ำได้ดี
การขยายพันธุ์: เพาะเมล็ด ตอนกิ่ง
ส่วนที่มีกลิ่นหอม: ดอกกลิ่นหอมแรงในเวลาเย็นถึงค่ำ
การใช้ประโยชน์:
- ไม้ประดับ
- สมุนไพร
- ดอก กลั่นทำน้ำหอม
- บริโภค
ถิ่นกำเนิด: ประเทศไทย
แหล่งที่พบ: ชายป่าชื้นทางภาคใต้ และภาคกลางของประเทศไทย
สรรพคุณทางยา:
- ดอก มีน้ำมันหอมระเหยมีกลิ่นหอมใช้แต่งกลิ่น
- เนื้อไม้และราก ต้มรับประทานแก้ไข้กลับ ไข้ซ้ำ
- ราก เป็นยาแก้โรคผอมแห้งของสตรีเนื่องจากคลอดบุตรอยู่ไฟไม่ได้
บริเวณที่พบ: หลังตึก60ปี
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)